Yengo

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

ย้อนรอยแข้ง “ช้างศึก” เส้นทางคัด “บอลโลก”

ย้อนรอยแข้ง “ช้างศึก” เส้นทางคัด “บอลโลก”

ขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เพิ่งผ่านพ้นเส้นทางทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กลุ่มเอฟ นัดสุดท้าย ฟาดแข้งชี้ชะตากับ อิรัก ที่สนามกลาง กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา…

ทีมชาติไทยชุดนี้นำทัพโดย “โค้ชซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” อดีตศูนย์หน้าจอมตีลังกาสวมบทเป็นเฮดโค้ช พร้อมด้วยนักเตะที่ถือเป็นดรีมทีมยุคใหม่ ทั้ง “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน”, “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา”, “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” และอีกหลายคน

แต่หากย้อนรอยเส้นทางการทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ผ่านมาทั้งหมด 11 ครั้งนั้น ทีมชาติไทยเคยสร้างผลงานได้ดีที่สุดก่อนหน้านี้ด้วยการทะลุเข้าถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียครั้งแรกมาแล้วเมื่อกว่า 14 ปีก่อน!

ทีมชาติไทยยุคนั้นคุมทัพโดย ปีเตอร์ วิธ อดีตศูนย์หน้าแอสตัน วิลล่า ชาวอังกฤษ พร้อมด้วยนักเตะดรีมทีมยุคแรกทั้ง “ซิโก้”, “แบน” ธชตวัน (ตะวัน) ศรีปาน, “วัง” ธวัชชัย อำรงอ่องตระกูล, “โอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน และคนอื่นที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก

ผลงานของทีมชาติไทยในครั้งนั้น รอบแรกเริ่มแข่งขันเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2001 ทีมชาติไทยถูกวางให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับศรีลังกา, ปากีสถาน และเลบานอน

ช้างศึกประเดิมสนามด้วยการเปิดรังชนะ ศรีลังกา 4-2 ซึ่งเป็นซิโก้พังได้ 2 ประตู อีก 2 ประตูเป็น “เทิดศักดิ์ ใจมั่น” และธวัชชัย ก่อนที่นัดสองถล่ม ปากีสถาน 3-0 ได้ประตูจาก “เสกสรรค์ ปิตุรัตน์” และเทิดศักดิ์คนเดิม

จากนั้นคว้าชัยต่อเนื่องในนัดสามบุกชนะ เลบาเนอน 2-1, นัดสี่ถลุง ศรีลังกา 3-0 ได้ประตูจากเสกสรรค์ และเกียรติศักดิ์ คู่ศูนย์หน้าที่ฟอร์มร้อนแรงมากในช่วงนั้น ก่อนที่นัดห้าไล่ยำ ปากีสถาน 0-6 ซึ่งก็เป็นซิโก้เหมาคนเดียว 4 ประตู

นัดสุดท้ายทีมชาติไทยเปิดสนามศุภชลาศัยชี้ชะตาการเข้าสู่รอบกับเลบานอน ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 3 หมื่นคน โดยไทยต้องการเพียงผลเสมอเท่านั้นก็จะเพียงต่อการเข้าสู่รอบสุดท้ายคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของทีมชาติไทยชุดปัจจุบันในนัดสุดท้ายกับอิรัก

แต่กลับเป็นเลบานอนยิงนำก่อน 1-0 ในช่วงครึ่งแรก ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ครึ่งหลังแข้งไทยฮึดสู้ยิงแซง 2-1 จากฮีโร่อย่างเสกสรรค์และตะวัน แม้ว่าท้ายเกมทีมเยือนตีเสมอ 2-2 แต่ผลดังกล่าวก็ยังเพียงพอสำหรับทีมไทย

จากการลงเตะ 6 นัด ทีมชาติไทยคว้าชัยถึง 5 นัด เสมอ 1 นัด มี 16 แต้ม คว้าอันดับ 1 ของกลุ่ม พร้อมคว้าตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ โดยที่ซิโก้ยังเป็นดาวยิงได้ถึง 7 ประตูด้วย

ช่วงเวลาหลังจากนั้น 2 เดือน ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ ปีเตอร์ วิธ เดินหน้าเข้าฟาดแข้งรอบท็อป 10 เอเชีย แต่ทีมไทยต้องอยู่ร่วมกลุ่มเอร่วมกับชาติตะวันออกกลางทั้งสิ้นคือ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, บาห์เรน และอิรัก

วันที่ 17 สิงหาคม ปี 2001 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ทีมไทยประเดิมลงเตะรอบ 10 ทีมของเอเชีย แต่ปรากฏว่า บุกพ่ายอิรักขาดลอย 0-4 ก่อนที่นัดต่อมาจะเปิดบ้านยันเสมอยักษ์ใหญ่ อิหร่าน 0-0 และบุกเสมอ บาห์เรน 1-1

ต่อจากนั้นทีมไทยบุกแพ้ ซาอุดีอาระเบีย 1-3, เสมอ อิรัก 1-1, บุกแพ้ อิหร่าน 0-1, เสมอ บาห์เรน 1-1 และปิดท้ายบุกแพ้ต่อ ซาอุดีอาระเบีย 1-4

ทำให้ทีมไทยลงเตะ 8 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 4 นัด มีเพียง 4 แต้ม รั้งอันดับสุดท้ายกลุ่มเอ และต้องยุติเส้นทางครั้งประวัติศาสตร์เอาไว้เพียงเท่านั้น…

หากย้อนไปดูผลงานของทีมชาติไทยในการลงเตะรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่ผ่านมาทั้งหมด 11 ครั้ง ประกอบด้วย

ฟุตบอลโลก 1974 แพ้รวด 3 นัด และยิงประตูไม่ได้เลย, ฟุตบอลโลก 1978 มีดาวเด่น “วิทยา เลาหกุล” ชนะ 1 นัด แพ้ 3, ฟุตบอลโลก 1982 เสมอ 1 แพ้ 2, ฟุตบอลโลก 1986 ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 3 ยังไม่ผ่านรอบคัดเลือก รอบแรก

ฟุตบอลโลก 1990 “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” พาทีมชนะนัดเดียว และแพ้ 5, ฟุตบอลโลก 1994 ปิยะพงษ์ และเกียรติศักดิ์ นำทัพชนะถึง 4 นัด แต่ก็แพ้ 4 นัดเช่นกัน ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, ฟุตบอลโลก 1998 ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 2 ไม่ผ่านรอบคัดเลือกเช่นกัน, ฟุตบอลโลก 2002 เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย

ฟุตบอลโลก 2006 “โค้ชหรั่ง” “ชาญวิทย์ ผลชีวิน” คุมทัพชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 3 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก รอบสอง, ฟุตบอลโลก 2010 “ไบรอัน ร็อบสัน” เป็นกุนซือ เสมอ 1 และแพ้ถึง 5, ฟุตบอลโลก 2014 “วินฟรีด เชเฟอร์” เป็นเฮดโค้ช นำทีมชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 4 ยังไม่ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย

สำหรับกุนซือคนแรกที่พาทีมชาติไทยเข้าสู่รอบ 10 ทีมศึกคัดฟุตบอลโลกอย่าง ปีเตอร์ วิธ นั้นเริ่มต้นเข้ามาคุมทีมชาติไทยต่อจาก “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ก่อนสร้างผลงานพาทีมชาติไทยทะลุเข้าสู่รอบ 4 ทีม เอเชี่ยนเกมส์ 1998 ด้วยการโค่นเกาหลีใต้ 2-1

ต่อมาอดีตศูนย์หน้าสิงห์ผงาดนำทัพช้างศึกป้องกันแชมป์ซีเกมส์ 1999 ด้วยการชนะ เวียดนาม 2-0 ก่อนพาทีมคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ แชมเปี้ยนชิพ หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในปัจจุบัน 2 สมัยติดต่อกันเมื่อปี 2000 และ 2002 ด้วย

เช่นเดียวกับกุนซือทีมชาติไทยคนปัจจุบันอย่างโค้ชซิโก้ ซึ่งสร้างผลงานยกระดับทีมชาติไทยเดินตามรอยเดียวกันไปคว้าแชมป์ได้ต่อเนื่องแม้ว่าช่วงระยะเวลาจะไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดซะทีเดียว

โค้ชซิโก้ประเดิมนำแข้งช้างศึกทวงแชมป์ซีเกมส์ 2013 กลับคืนมาได้สำเร็จในรอบ 12 ปี และนำทัพไปคว้าอันดับ 4 ในศึกเอเชี่ยนเกมส์ 2014 ได้เช่นกัน

ถัดมาซิโก้ขึ้นคุมทีมชุดใหญ่เต็มตัว พร้อมครองโทรฟี่เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ก่อนนำทีมเดินเข้าสู่เส้นทางทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชียในครั้งนี้

ขณะเดียวกันนักเตะดรีมทีมยุคแรกก็มีอัตลักษณ์คล้ายคลึงกับนักเตะไทยชุดปัจจุบัน ซึ่งได้ถอดแบบลักษณ์ระบบทีมเวิร์ก และความสัมพันธ์ภายในทีมที่ดี เพราะเติบโตขึ้นมาด้วยกัน อีกทั้งยังอยู่ถือว่าอยู่ในช่วงพีกของการค้าแข้งเช่นกันด้วย

เกียรติศักดิ์, ธชตวัน, ดุสิต, เสกสรรค์, เทิดศักดิ์, ธวัชชัย และ ฯลฯ เสมือนเป็นแม่พิมพ์ให้รุ่นน้องปัจจุบันทั้ง ธีรศิลป์, ชนาธิป, ธีราทร, สารัช อยู่เย็น, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ และคนอื่น ซึ่งกำลังเดินตามรอยรุ่นพี่ในเส้นทางคัดบอลโลก

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในรอบ 10 ทีมสุดท้ายครั้งก่อนนั้น ยังไม่มีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ ทั้งเรื่องการเก็บตัวฝึกซ้อม และการหาแมตช์อุ่นเครื่อง

แม้ครั้งนั้นทีมไทยจะสู้กับแข้งอาหรับได้ไม่น้อยหน้า แต่ก็ไม่สามารถเก็บชัยได้เลยแม้แต่นัดเดียว และจมบ๊วยของกลุ่มด้วย

โค้ชซิโก้ย้ำมาตลอดว่า ความหวังที่ทีมชาติไทยจะไปฟุตบอลโลกนั้นจะต้องวางแผนระยะยาว และต้องให้ทีมชุดเยาวชนไปฟุตบอลโลก รุ่น 17 ปี รุ่น 20 ปีให้ได้ก่อน เพราะเป็นการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง

“ผมคิดว่าทีมเยาวชนจะต้องไปบอลโลก 17 ปี และ 20 ปีให้ได้สม่ำเสมอก่อนที่ทีมชุดใหญ่จะได้ไป แน่นอนว่าผมทำทีมก็อยากไป ตอนเป็นผู้เล่นไม่ได้ไป ตอนเป็นโค้ชต้องอยากไปอยู่แล้ว แต่ทีมชุดใหญ่จะไปบอลโลกได้ไหม ผมยังบอกไม่ได้ หากได้ไปก็จะถือเป็นโบนัสที่เร็วเกินคาด เพราะฟุตบอลไทยเราเพิ่งตั้งไข่” ซิโก้ กล่าว

แต่ครั้งนี้ด้วยแรงศรัทธาของแฟนบอลชาวไทยอันเต็มเปี่ยมก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้นักเตะไทยสร้างผลงานได้อย่างเต็มที่

หากรากฐานยังแข็งแกร่งไม่พอ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ บวกกับแรงหนุนจากแฟนบอลชาวไทยก็อาจทำให้ทีมชาติไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จในเส้นทางรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกได้ดีกว่าที่ผ่านมาด้วย

ไม่ว่าเส้นทางนี้จะยาวไกลอีกเพียงใด แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินไปความฝันของแฟนบอลไทยทั้งประเทศไทยจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน…

The post ย้อนรอยแข้ง “ช้างศึก” เส้นทางคัด “บอลโลก” appeared first on มติชนออนไลน์.



ที่มา กีฬา – มติชนออนไลน์

ย้อนรอยแข้ง “ช้างศึก” เส้นทางคัด “บอลโลก”

ขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เพิ่งผ่านพ้นเส้นทางทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กลุ่มเอฟ นัดสุดท้าย ฟาดแข้งชี้ชะตากับ อิรัก ที่สนามกลาง กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา…

ทีมชาติไทยชุดนี้นำทัพโดย “โค้ชซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” อดีตศูนย์หน้าจอมตีลังกาสวมบทเป็นเฮดโค้ช พร้อมด้วยนักเตะที่ถือเป็นดรีมทีมยุคใหม่ ทั้ง “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน”, “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา”, “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” และอีกหลายคน

แต่หากย้อนรอยเส้นทางการทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ผ่านมาทั้งหมด 11 ครั้งนั้น ทีมชาติไทยเคยสร้างผลงานได้ดีที่สุดก่อนหน้านี้ด้วยการทะลุเข้าถึงรอบ 10 ทีมสุดท้ายโซนเอเชียครั้งแรกมาแล้วเมื่อกว่า 14 ปีก่อน!

ทีมชาติไทยยุคนั้นคุมทัพโดย ปีเตอร์ วิธ อดีตศูนย์หน้าแอสตัน วิลล่า ชาวอังกฤษ พร้อมด้วยนักเตะดรีมทีมยุคแรกทั้ง “ซิโก้”, “แบน” ธชตวัน (ตะวัน) ศรีปาน, “วัง” ธวัชชัย อำรงอ่องตระกูล, “โอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน และคนอื่นที่ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก

ผลงานของทีมชาติไทยในครั้งนั้น รอบแรกเริ่มแข่งขันเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2001 ทีมชาติไทยถูกวางให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับศรีลังกา, ปากีสถาน และเลบานอน

ช้างศึกประเดิมสนามด้วยการเปิดรังชนะ ศรีลังกา 4-2 ซึ่งเป็นซิโก้พังได้ 2 ประตู อีก 2 ประตูเป็น “เทิดศักดิ์ ใจมั่น” และธวัชชัย ก่อนที่นัดสองถล่ม ปากีสถาน 3-0 ได้ประตูจาก “เสกสรรค์ ปิตุรัตน์” และเทิดศักดิ์คนเดิม

จากนั้นคว้าชัยต่อเนื่องในนัดสามบุกชนะ เลบาเนอน 2-1, นัดสี่ถลุง ศรีลังกา 3-0 ได้ประตูจากเสกสรรค์ และเกียรติศักดิ์ คู่ศูนย์หน้าที่ฟอร์มร้อนแรงมากในช่วงนั้น ก่อนที่นัดห้าไล่ยำ ปากีสถาน 0-6 ซึ่งก็เป็นซิโก้เหมาคนเดียว 4 ประตู

นัดสุดท้ายทีมชาติไทยเปิดสนามศุภชลาศัยชี้ชะตาการเข้าสู่รอบกับเลบานอน ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 3 หมื่นคน โดยไทยต้องการเพียงผลเสมอเท่านั้นก็จะเพียงต่อการเข้าสู่รอบสุดท้ายคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของทีมชาติไทยชุดปัจจุบันในนัดสุดท้ายกับอิรัก

แต่กลับเป็นเลบานอนยิงนำก่อน 1-0 ในช่วงครึ่งแรก ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ครึ่งหลังแข้งไทยฮึดสู้ยิงแซง 2-1 จากฮีโร่อย่างเสกสรรค์และตะวัน แม้ว่าท้ายเกมทีมเยือนตีเสมอ 2-2 แต่ผลดังกล่าวก็ยังเพียงพอสำหรับทีมไทย

จากการลงเตะ 6 นัด ทีมชาติไทยคว้าชัยถึง 5 นัด เสมอ 1 นัด มี 16 แต้ม คว้าอันดับ 1 ของกลุ่ม พร้อมคว้าตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ โดยที่ซิโก้ยังเป็นดาวยิงได้ถึง 7 ประตูด้วย

ช่วงเวลาหลังจากนั้น 2 เดือน ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ ปีเตอร์ วิธ เดินหน้าเข้าฟาดแข้งรอบท็อป 10 เอเชีย แต่ทีมไทยต้องอยู่ร่วมกลุ่มเอร่วมกับชาติตะวันออกกลางทั้งสิ้นคือ ซาอุดีอาระเบีย, อิหร่าน, บาห์เรน และอิรัก

วันที่ 17 สิงหาคม ปี 2001 นับเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ทีมไทยประเดิมลงเตะรอบ 10 ทีมของเอเชีย แต่ปรากฏว่า บุกพ่ายอิรักขาดลอย 0-4 ก่อนที่นัดต่อมาจะเปิดบ้านยันเสมอยักษ์ใหญ่ อิหร่าน 0-0 และบุกเสมอ บาห์เรน 1-1

ต่อจากนั้นทีมไทยบุกแพ้ ซาอุดีอาระเบีย 1-3, เสมอ อิรัก 1-1, บุกแพ้ อิหร่าน 0-1, เสมอ บาห์เรน 1-1 และปิดท้ายบุกแพ้ต่อ ซาอุดีอาระเบีย 1-4

ทำให้ทีมไทยลงเตะ 8 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 4 นัด มีเพียง 4 แต้ม รั้งอันดับสุดท้ายกลุ่มเอ และต้องยุติเส้นทางครั้งประวัติศาสตร์เอาไว้เพียงเท่านั้น…

หากย้อนไปดูผลงานของทีมชาติไทยในการลงเตะรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่ผ่านมาทั้งหมด 11 ครั้ง ประกอบด้วย

ฟุตบอลโลก 1974 แพ้รวด 3 นัด และยิงประตูไม่ได้เลย, ฟุตบอลโลก 1978 มีดาวเด่น “วิทยา เลาหกุล” ชนะ 1 นัด แพ้ 3, ฟุตบอลโลก 1982 เสมอ 1 แพ้ 2, ฟุตบอลโลก 1986 ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 3 ยังไม่ผ่านรอบคัดเลือก รอบแรก

ฟุตบอลโลก 1990 “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” พาทีมชนะนัดเดียว และแพ้ 5, ฟุตบอลโลก 1994 ปิยะพงษ์ และเกียรติศักดิ์ นำทัพชนะถึง 4 นัด แต่ก็แพ้ 4 นัดเช่นกัน ไม่ผ่านรอบคัดเลือก, ฟุตบอลโลก 1998 ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 2 ไม่ผ่านรอบคัดเลือกเช่นกัน, ฟุตบอลโลก 2002 เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้าย

ฟุตบอลโลก 2006 “โค้ชหรั่ง” “ชาญวิทย์ ผลชีวิน” คุมทัพชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 3 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก รอบสอง, ฟุตบอลโลก 2010 “ไบรอัน ร็อบสัน” เป็นกุนซือ เสมอ 1 และแพ้ถึง 5, ฟุตบอลโลก 2014 “วินฟรีด เชเฟอร์” เป็นเฮดโค้ช นำทีมชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 4 ยังไม่ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก รอบสุดท้าย

สำหรับกุนซือคนแรกที่พาทีมชาติไทยเข้าสู่รอบ 10 ทีมศึกคัดฟุตบอลโลกอย่าง ปีเตอร์ วิธ นั้นเริ่มต้นเข้ามาคุมทีมชาติไทยต่อจาก “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ก่อนสร้างผลงานพาทีมชาติไทยทะลุเข้าสู่รอบ 4 ทีม เอเชี่ยนเกมส์ 1998 ด้วยการโค่นเกาหลีใต้ 2-1

ต่อมาอดีตศูนย์หน้าสิงห์ผงาดนำทัพช้างศึกป้องกันแชมป์ซีเกมส์ 1999 ด้วยการชนะ เวียดนาม 2-0 ก่อนพาทีมคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ แชมเปี้ยนชิพ หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในปัจจุบัน 2 สมัยติดต่อกันเมื่อปี 2000 และ 2002 ด้วย

เช่นเดียวกับกุนซือทีมชาติไทยคนปัจจุบันอย่างโค้ชซิโก้ ซึ่งสร้างผลงานยกระดับทีมชาติไทยเดินตามรอยเดียวกันไปคว้าแชมป์ได้ต่อเนื่องแม้ว่าช่วงระยะเวลาจะไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดซะทีเดียว

โค้ชซิโก้ประเดิมนำแข้งช้างศึกทวงแชมป์ซีเกมส์ 2013 กลับคืนมาได้สำเร็จในรอบ 12 ปี และนำทัพไปคว้าอันดับ 4 ในศึกเอเชี่ยนเกมส์ 2014 ได้เช่นกัน

ถัดมาซิโก้ขึ้นคุมทีมชุดใหญ่เต็มตัว พร้อมครองโทรฟี่เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ก่อนนำทีมเดินเข้าสู่เส้นทางทำศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชียในครั้งนี้

ขณะเดียวกันนักเตะดรีมทีมยุคแรกก็มีอัตลักษณ์คล้ายคลึงกับนักเตะไทยชุดปัจจุบัน ซึ่งได้ถอดแบบลักษณ์ระบบทีมเวิร์ก และความสัมพันธ์ภายในทีมที่ดี เพราะเติบโตขึ้นมาด้วยกัน อีกทั้งยังอยู่ถือว่าอยู่ในช่วงพีกของการค้าแข้งเช่นกันด้วย

เกียรติศักดิ์, ธชตวัน, ดุสิต, เสกสรรค์, เทิดศักดิ์, ธวัชชัย และ ฯลฯ เสมือนเป็นแม่พิมพ์ให้รุ่นน้องปัจจุบันทั้ง ธีรศิลป์, ชนาธิป, ธีราทร, สารัช อยู่เย็น, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ และคนอื่น ซึ่งกำลังเดินตามรอยรุ่นพี่ในเส้นทางคัดบอลโลก

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในรอบ 10 ทีมสุดท้ายครั้งก่อนนั้น ยังไม่มีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ ทั้งเรื่องการเก็บตัวฝึกซ้อม และการหาแมตช์อุ่นเครื่อง

แม้ครั้งนั้นทีมไทยจะสู้กับแข้งอาหรับได้ไม่น้อยหน้า แต่ก็ไม่สามารถเก็บชัยได้เลยแม้แต่นัดเดียว และจมบ๊วยของกลุ่มด้วย

โค้ชซิโก้ย้ำมาตลอดว่า ความหวังที่ทีมชาติไทยจะไปฟุตบอลโลกนั้นจะต้องวางแผนระยะยาว และต้องให้ทีมชุดเยาวชนไปฟุตบอลโลก รุ่น 17 ปี รุ่น 20 ปีให้ได้ก่อน เพราะเป็นการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง

“ผมคิดว่าทีมเยาวชนจะต้องไปบอลโลก 17 ปี และ 20 ปีให้ได้สม่ำเสมอก่อนที่ทีมชุดใหญ่จะได้ไป แน่นอนว่าผมทำทีมก็อยากไป ตอนเป็นผู้เล่นไม่ได้ไป ตอนเป็นโค้ชต้องอยากไปอยู่แล้ว แต่ทีมชุดใหญ่จะไปบอลโลกได้ไหม ผมยังบอกไม่ได้ หากได้ไปก็จะถือเป็นโบนัสที่เร็วเกินคาด เพราะฟุตบอลไทยเราเพิ่งตั้งไข่” ซิโก้ กล่าว

แต่ครั้งนี้ด้วยแรงศรัทธาของแฟนบอลชาวไทยอันเต็มเปี่ยมก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้นักเตะไทยสร้างผลงานได้อย่างเต็มที่

หากรากฐานยังแข็งแกร่งไม่พอ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ บวกกับแรงหนุนจากแฟนบอลชาวไทยก็อาจทำให้ทีมชาติไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จในเส้นทางรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกได้ดีกว่าที่ผ่านมาด้วย

ไม่ว่าเส้นทางนี้จะยาวไกลอีกเพียงใด แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินไปความฝันของแฟนบอลไทยทั้งประเทศไทยจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน…

The post ย้อนรอยแข้ง “ช้างศึก” เส้นทางคัด “บอลโลก” appeared first on มติชนออนไลน์.


ที่มา กีฬา – มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น