แฟ้มคดี
ถูกจับตามองจากสังคมอย่างเข้มงวด สำหรับการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สำหรับเหตุการณ์รถเบนซ์ของไฮโซหนุ่ม ที่ก่อเหตุพุ่งชนรถฟอร์ดของ 2 นักศึกษาปริญญาโท จนเกิดไฟลุกไหม้คลอกร่างทั้งคู่ เสียชีวิต
เพราะด้วยความที่ไม่ซับซ้อนของคดี มีสมบูรณ์ทั้งพยานหลักฐานที่เห็นเหตุการณ์และคลิปวิดีโอ
แต่การดำเนินการก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า และดูจะผิดหลักเกณฑ์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุ หรือกระทั่งสารเสพติด
รวมทั้งการแจ้งข้อกล่าวหาล่าช้า
จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องที่ผู้กระทำความผิดเป็นทายาทตระกูลใหญ่ เจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน
เป็นเหตุให้มีคำสั่งย้ายนายตำรวจที่ทำคดี แล้วเปลี่ยนแปลงพนักงานสอบสวนชุดใหม่
เพื่อยืนยันว่าคดีนี้ต้องทำไปอย่างตรงไปตรงมา
เด้งผกก.เซ่นคดีชนไฟลุก
หลังเหตุการณ์รถเบนซ์ ซีแอลเอส สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร ของ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ทายาทของเจ้าของบริษัท เลนโซ่ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) พุ่งเข้าชนท้ายรถเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า สีเทาดำ ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงสายวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา
เป็นเหตุให้เกิดไฟลุกท่วมรถเก๋งฟอร์ด คลอกร่าง นายกฤษณะ ถาวร หรือ โต้ง อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ หรือ เบนซ์ ฮ้อแสงชัย นิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสียชีวิตคาที่
เหตุเกิดบนถนนพหลโยธินขาออก ก.ม.52-53 ใต้ต่างระดับบางปะอิน ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เวลาผ่านไปแล้วหลายวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำผิด
หนำซ้ำยังไม่ได้มีการสอบปากคำผู้กระทำผิด ไม่มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ไม่มีการตรวจเลือดหาสารเสพติด โดยให้เหตุผลว่าผู้ต้องหาปฏิเสธ เพราะกลัวเข็ม
หรือกระทั่งการถอดแบตเตอรี่รถเบนซ์คันก่อเหตุ จนทำให้ไมล์ความเร็วตีกลับไปอยู่ที่เดิมจนไม่สามารถรู้ถึงความเร็วขณะเกิดเหตุได้
จนทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงไปทั้งในสังคมทั่วไปและโลกออนไลน์
กระทั่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ต้องสั่งการให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ลงมาคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง
พร้อมกันนั้น พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ภาค 1 ก็มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.พงษ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา และ พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รองผกก.(สอบสวน) ไปประจำศปก.ตร.ภาค 1 เป็นเวลา 15 วัน โดยขาดจากตำแหน่งเดิม
พร้อมตั้ง พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รองผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแทน พร้อมตั้งกรรมการสอบวินัยพนักงานสอบสวนชุดเก่าว่าเหตุใดการทำคดีถึงล่าช้านัก
เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสังคม
พงศพัศลุยเอง-ขอขมาเหยื่อ
หลังเปลี่ยนแปลงพนักงานสอบสวน พล.ต.อ.พงศพัศ พร้อม พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รองผบช.ภาค 1 ก็สั่งเร่งรัดคดี โดยเข้าตรวจสอบที่โรงพยาบาลบางปะอิน สอบสวนพยาบาล และเวรเปล ซึ่งได้ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุให้เจาะเลือดตรวจ
แต่นายเจนภพปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่ากลัวเข็ม จะต้องให้โรงพยาบาลสมิติเวชตรวจที่เดียว จึงไม่มีการตรวจเลือด แต่ในเรื่องของสารเสพติดสามารถตรวจเส้นผม และร่างกายได้เช่นกัน
พร้อมกันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แจ้งข้อหานายเจนภพ 3 ข้อหาหนัก คือ เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถโดยประมาท และขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ตามมาตรา 142 หากถูกปฏิเสธ ตำรวจสามารถแจ้งข้อกล่าวหาโดยสันนิษฐานว่าเมาได้
ก่อนที่จะคุมตัวนายเจนภพมาทั้งเตียงผู้ป่วยเพื่อยื่นฝากขังต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเวลา 12 วัน
โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัวในหลักทรัพย์เงินสด 2 แสนบาท พร้อมมีเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามขับขี่รถทุกประเภท ให้ยึดใบอนุญาตใบขับขี่ และต้องมารายงานตัวต่อศาลทุกครั้งเมื่อมีหมายศาล
นอกจากนี้พ.ต.อ.พงศพัศ ยังเดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ น.ส.ธันฐภัทร์ หรือเบนซ์ ที่วัดทวีการะอนันต์ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยได้กล่าวขอโทษกับญาติผู้เสียชีวิต ที่พนักงานสอบสวนทำคดีผิดพลาดไปบางประการ
เช่นเดียวกับที่เดินทางไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่ของนายกฤษณะ เหยื่อรถเบนซ์อีกคนที่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เพื่อแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมแจ้งความคืบหน้าทางคดี เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย และขจัดข้อเคลือบแคลงสงสัย ให้สังคมเชื่อมั่นว่ากระบวนการสอบสวนจะดำเนินการไปอย่างเป็นธรรม
ยอมรับว่าการทำงานในช่วงแรกอาจจะล่าช้า แต่ได้ปรับปรุงแก้ไขโอนคดีจากสภ.พระอินทร์ราชา มาให้บก.ภ.จว.พระนคร ศรีอยุธยา สอบสวนแทนเพื่อลบข้อสงสัยและข้อเคลือบแคลงจากสังคม ยืนยันว่าตำรวจจะทำคดีอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมรับฟังในทุกข้อติติง เพื่อนำปัญหาที่เกิดขึ้นกลับไปปรับปรุงแก้ไข
ตะลึงซิ่ง 250 ก.ม.ต่อชั่วโมง
ส่วนเรื่องพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ก็เร่งรวบรวมเพื่อส่งฟ้อง เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบซองยาของสถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าพระยา ในรถเบนซ์ที่ก่อเหตุ ระบุชื่อนายเจนภพเป็นคนไข้ และรหัสชื่อของยา เมื่อตรวจสอบจากเภสัชกรทราบว่า เป็นยาใช้รักษาโรคซึมเศร้า
จึงส่งกลับไปยังสถาบันจิตเวชศาสตร์เพื่อตรวจสอบประเภทของยา เบื้องต้นได้ส่งผลกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่าเป็นยาประเภทกล่อมประสาท ซึ่งมีผลทำให้ง่วงและเบลอได้ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าก่อนเกิดเหตุนายเจนภพได้รับประทานยาดังกล่าวหรือไม่
ทั้งนี้ ยังตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดพบว่าขณะเกิดเหตุ เบนซ์ของนายเจนภพ ใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจากด่านเก็บเงินทางยกระดับโทลล์เวย์ดินแดงไปจนถึงปลายทางที่จ.ปทุมธานี ระยะทาง 28.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 7 นาทีเศษ ซึ่งเฉลี่ยใช้ความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ในสังคมออนไลน์ยังเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ด่านการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พระราม 4 จุดที่ 2 มุ่งหน้าดินแดง ช่วงเวลา 10.58 น. ก่อนเกิดเหตุ พบรถเบนซ์คันดังกล่าวขับเข้าช่องทางด้วยความเร็ว
เมื่อใกล้ถึงตู้เก็บเงิน คนขับเปิดกระจกยกกล่องอีซี่พาส โบกให้สัญญาณเพื่อให้ไม้กั้นทางเปิด แต่เนื่องจากรถขับมาเร็วทำให้บัตรและกล่องรับสัญญาณไม่เชื่อมต่อกัน ไม้กั้นไม่เปิด จนรถวิ่งชนไม้กั้นจากไปโดยคนขับไม่ได้ลงมาดูเหตุการณ์
โดย นายดำเกิง ปานขำ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการพิเศษ กพท. เผยว่า จากการตรวจสอบพบไม้กั้นที่ถูกชนไม่เสียหาย ผู้ขับขี่ติดตั้งเครื่องมือรับส่งสัญญาณอีซี่พาส และเข้าช่องอีซี่พาสตามปกติ ผู้ขับขี่ไม่มีความผิด เมื่อไม้กั้นไม่เสียหาย กทพ.ก็ไม่ได้แจ้งความเรียกร้องค่าเสียหาย แต่จะหักเงินย้อนหลัง 50 บาท เพราะเท่ากับยังไม่ได้จ่ายค่าผ่านทาง
แม้กพท.จะระบุไม่มีความผิด แต่ตำรวจก็เตรียมเชื่อมโยงเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าด้วยกัน
ยืนยันทำคดีอย่างตรงไปตรงมา
พลิกนาทีเสี่ยเบนซ์ชน 2 ศพ
เหตุสยองครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงสายวันที่ 13 มี.ค. เมื่อ พ.ต.ท. สมศักดิ์ พลพันขาง รองผกก. (สอบสวน) สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุรถชนกัน เป็นเหตุให้เกิดไฟลุกไหม้ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต บนถนนพหลโยธินขาออก ก.ม.52-53 ใต้ต่างระดับบางปะอิน ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ที่เกิดเหตุพบรถเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า สีเทาดำ ถูกชนท้ายยุบเข้าไปถึงห้องโดยสารที่นั่งคนขับ มีผู้บาดเจ็บติดอยู่ 2 คน เป็นชายตรงที่นั่งคนขับ และผู้หญิงนั่งอยู่ด้านข้าง
เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่า หลังรับแจ้งอุบัติเหตุจึงเดินทางเข้าช่วยเหลือพบรถฟอร์ดคันดังกล่าวมีไฟลุกไหม้ ฝ่ายชายที่อยู่ที่นั่งคนขับอยู่ในสภาพหมดสติ ไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ มีสติอยู่ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เจ้าหน้าที่พยายามเข้าช่วยเหลือ แต่ฝ่ายหญิงพยายามร้องปลุกผู้ชาย
จากนั้นจู่ๆ ไฟก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องหนีออกจากตัวรถ ขณะที่ฝ่ายหญิงถูกเพลิงไหม้เสียชีวิต โดยไม่สามารถช่วยเหลือออกมาได้!!
ทั้งนี้ ผลตรวจสอบระบุสาเหตุที่เพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว เพราะรถคันดังกล่าวติดถังแก๊สแอลพีจีรูปโดนัทไว้ที่ท้ายรถ
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้งสอง ประกอบด้วยนายกฤษณะ ถาวร หรือโต้ง อายุ 32 ปี และ น.ส.ธันฐภัทร์ หรือเบนซ์ ฮ้อแสงชัย ที่เพิ่งกลับจากทำเรื่องขอจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ห่างไปจากจุดที่รถเก๋งฟอร์ดไฟไหม้ประมาณ 500 เมตร ก็พบรถเบนซ์ซีแอลเอส สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร สภาพหงายท้องล้อชี้ฟ้า ด้านหน้าพังยับเยิน ภายในมีคนขับ ซึ่งเป็น ผู้บาดเจ็บ 1 ราย
ทราบชื่อว่านายเจนภพ อยู่บ้านเลขที่ 445 ซอยหมู่บ้านปัญญา แขวงสวนหลวง กทม. เป็นทายาทของเจ้าของบริษัท เลนโซ่ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) กิจการระดับหมื่นล้าน ซึ่งประกอบธุรกิจเคมีภัณฑ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ล่าสุดต้องตกเป็นผู้ต้องหาขับรถชนคนตาย
ที่มา khaosod.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น